สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการบำบัดโรค

สิ่งที่ต้องทำ

​

สวนอุจจาระด้วยกาแฟ

ซึ่งการสวนอุจจาระด้วยกาแฟจะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย คือคาเฟอีนในกาแฟ จะซึมผ่านไปตามหลอดเลือดดำในลำไส้ใหญ่ จากนั้นจะซึมผ่านเข้าไปที่ตับเพื่อช่วยกระตุ้นตับให้ผลิตน้ำดีเพื่อช่วยการทำงานของตับให้ดีขึ้น และขับล้างของเสียที่ตกค้างภายในตับซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนมากจะมีสารพิษตกค้างอยู่ในตับ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลง ซึ่งคนที่ไม่ป่วยก็สามารถทำการสวนกาแฟล้างพิษได้เช่นกัน อาจจะทำแค่อาทิตย์ละครั้ง ขณะทำการสวน ควรกลั้นกาแฟขณะสวนให้ได้ ๑๒ นาที (อย่างต่ำ ๑๐ นาที แต่ห้ามเกิน ๑๕ นาที)

​

ดื่มน้ำปั่นผักและผลไม้สดที่ปั่นจากเครื่องปั่นน้ำผลไม้ชนิดแยกกาก

ไม่ควรปั่นผักผลไม้รวมกับสิ่งอื่น เช่น น้ำแข็ง น้ำเชื่อม เป็นต้น ควรดื่มน้ำผักผลไม้ทันทีหลังจากปั่นเสร็จ เพราะจะได้รับประโยชน์จากเอนไซด์บางชนิดที่อยู่ในผักหรือผลไม้ที่ปั่น (ควรดื่มภายใน ๕ นาที)

รับประทานอาหารที่สุก ร้อน ปรุงเสร็จใหม่

ไม่ควรทานอาหารที่ค้างคืน และห้ามปรุงอาหารจากเตาไมโครเวฟ และหม้อนึ่ง อบไฟฟ้า หลีกเลี่ยงการปิ้ง ย่าง

ควรรับประทานอาหารประเภทนึ่ง ต้ม ดีที่สุด ข้าวกล้องต้มซึ่งสามารถใส่เผือก มันเทศ ฟักทอง แครอท เพื่อเพิ่มรสชาติและสีสันของอาหารได้

ที่สำคัญห้ามใส่เครื่องปรุงรสทุกชนิด

ออกกำลังกาย โดยการปั่นจักรยาน

เพื่อให้ระบบต่างๆในร่างกายได้ทำงานต่อเนื่องและเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับระบบกล้ามเนื้อ หัวใจ ประสาท

จากนั้นหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ ควรอบไอน้ำ เพราะช่วยระบบไหลเวียน เลือด สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งช่วยขับสารพิษให้ออกจากของร่างกายทางเหงื่อ

จากนั้นจึงพักประมาณ ๕-๑๐ นาที แล้วเช็ดตัวหรืออาบน้ำ จากนั้นนอนหัวค่ำตามที่ขั้นตอนการรักษาในแต่ละขั้นตอนได้กำหนดไว้ เพื่อช่วยในการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น

​

การนั่งสมาธิ

เวลาที่ดีสำหรับการนั่งสมาธิคือ ๐๘.๐๐-๐๙.๐๐ เพราะเป็นช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่ออกไปทำงานหรือภารกิจส่วนตัว จึงเป็นเวลาที่เหมาสม ซึ่งการนั่งสมาธินี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่สงบขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อผู้ป่วยไม่เครียดจะทำให้การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งกระจายตัวได้น้อยหรืออาจไม่แพร่กระจายเลย จึงเป็นผลดีสำหรับการบำบัดโรคของผู้ป่วยมะเร็ง

​